วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การวิ่งแบบถูกวิธี



                                               เทคนิคการวิ่งอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาสุขภาพ

 

                                     
     
     
     
     ร่างกายของคนเรานั้นถูกออกแบบมาให้ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจุบันพวกเราเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตไปมาก อุปกรณ์ต่างๆ ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์มากขึ้น อย่างจะเปลี่ยนช่องทีวีซักทีก็ต้องมีรีโมต ทำให้ไม่ต้องลุกขึ้นมาเดินเพื่อเคลื่อนไหวและออกแรง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บตามมามากมาย
 
     "การวิ่ง"
    
 เป็นวิธีการออกกำลังกายแบบง่ายๆ แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากเลยทีเดียว สามารถป้องกันโรคหัวใจ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ดังนั้น เรามาเรียนรู้วิธีการวิ่งอย่างถูกวิธีเพื่อให้การออกกำลังกายของเรานั้นได้รับประโยชน์สูงสุดกันดีกว่า
  • ควรวิ่งโดยใช้แรงจากโคนขาไม่ควรลงด้วยปลายเท้า
  • วิ่งให้ยาวๆ จนกว่ากล้ามเนื้อจะเมื่อยล้า กล้ามเนื้อจะใช้พลังจาก ไกลโคเจน เมื่อไกลโคเจนหมดกล้ามเนื้อจะเริ่มสะสมและเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะมีการสะสมที่มากกว่าเดิม ทำให้เราวิ่งได้ไกลขึ้น
  • วิ่งเร็วๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การวิ่งเร็วๆ จะทำให้ร่างการทำงานหนักจนรับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องไปใช้วิธีให้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เล้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เป็นการป้องกันการเป็นโรคหัวใจไปในตัวตามวิถีธรรมชาติ
  • เวลาวิ่งให้หายใจโดยใช้กระบังลม ทุกวันนี้ด้วยชีวิตที่เร่งรีบทำให้คนส่วนใหญ่หายใจแบบตื้นๆ และสั้นๆ ซึ่งไม่ใช่การหายใจที่ถูกต้อง ให้เปลี่ยนมาฝึกหายใจโดยใช้กระบังลม เพื่อให้การหายใจของเรานั้นลึกขึ้น และยาวขึ้น หรืออาจจะฝึกโดยการนอนหงายและนำหนังสือมาวางไว้บนหน้าท้อง สังเกตว่าถ้าหนังสือขยับขึ้นก่อนสูดลมหายใจเข้า และลดลงก่อนหายใจออกเป็นอันว่าใช้ได้
 
 
 
 

                                                                         ท่าวิ่งที่ถูกวิธี

 




   

      ไม่ควรวิ่งลงปลายเท้า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่อง และเอ็นร้อยหวายอักเสบได้ง่าย เวลาวิ่ง ควรใช้แรงจากกล้ามเนื้อโคนขา มากกว่าที่ปลายเท้า เพราะเป็นกล้ามเนื้อใหญ่ที่แข็งแรง และมีพลังมาก
วิ่งยาวจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อยอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากกล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจาก ไกลโคเจน ในการออกกำลังกาย มีกฎอยู่ว่า ถ้าเราใช้ไกลโคเจนหมด กล้ามเนื้อจะเริ่มสะสมใหม่ ซึ่งจะเก็บสะสมไว้มากกว่าคราวที่ผ่านมา นั่นก็หมายความว่า คราวหน้าเราจะวิ่งได้ไกลขึ้น จะเป็นอย่างนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งการวิ่งจนปวดกล้ามเนื้อแบบสุดๆ คือ อาการของไกลโคเจนหมดนั่นเอง
วิ่งเร็วอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การวิ่งเร็วๆ จะทำให้ร่างกายได้ทำงานหนัก ร่างกายจะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องไปใช้วิธีให้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน วิธีนี้จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งกลไกนี้ทำให้ป้องกันการเป็นโรคหัวใจได้
เวลาวิ่งให้หายใจ โดยใช้กระบังลม เพราะการหายใจที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนั้น คือ การหายใจตื้น และสั้น ซึ่งไม่เพียงพอ สำหรับการวิ่ง ดังนั้น จึงต้องใช้กระบังลมเข้าช่วย เพื่อให้มีการหายใจที่ลึกและยาว เราสามารถฝึกหายใจโดยใช้กระบังลมได้ โดยนอนหงาย เอาหนังสือวางไว้บนหน้าท้อง แล้วสังเกตว่า ถ้าหนังสือขยับขึ้น ก่อนสูดลมหายใจเข้า ลดลงตอนหายใจออก เป็นอันว่าใช้ได้ และควรยืดกล้ามเนื้อ โดยให้ยืดวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการบาดเจ็บขณะวิ่ง
การวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือวิ่งเหยาะ นอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความอดทน พร้อมกับยังสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเอง เป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่สร้างได้เอง อย่างน้อยก็เป็นการก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง
รู้อย่างนี้แล้ว รีบไปหยิบรองเท้าคู่ใจมาใส่ แล้วออกวิ่งไป พร้อมกับคนที่คุณรัก และอยากอยู่ด้วยกัน แบบมีความสุขไปอีกนานแสนนาน

                                                         รองเท้าที่ดี สำหรับการวิ่ง


 
 
 
 



        บริเวณส่วนบนของหุ้มส้น ควรเว้นตรงกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้กดเอ็นร้อยหวาย
ด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้าน จะต้องแข็งแรงพอที่จะปกป้องการบิดหมุน ของส้นเท้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาวิ่ง
ด้านหน้าของรองเท้า ตรงบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า จะต้องนูนสูงขึ้น (อย่างน้อย ½ นิ้ว) เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้ว และเล็บหัวแม่เท้าถูกกดเบียด ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดออกใต้เล็บได้
ลิ้นรองเท้า ต้องบุให้นุ่ม และปิดส่วนบนฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันการเสียดสี และระคายเคืองของนิ้วเท้า
เชือกผูกรองเท้า ไม่ควรยาวจนเกินไป เวลารัดไม่ควรแน่น หรือหลวมจนเกินไป
บริเวณส้นรองเท้า จะต้องฝานให้เป็นรูปมน เพื่อช่วยให้การลงของเท้า เป็นไปได้สะดวก และเร็วขึ้น
ที่ส้นเท้าจะต้องมีลิ้นที่นุ่มพอสมควร เสริมในส้น เพื่อช่วยกลืนแรงขณะส้นเท้ากระแทกกับพื้น
แกนยาวของรองเท้า อาจเป็นสันตรง หรือหักโค้งเล็กน้อย
พื้นรองเท้าบริเวณกึ่งกลางจะต้องหักงอได้ เพื่อช่วยรองรับอุ้งเท้า
พื้นรองเท้า จะต้องมีปุ่มสตั๊ค หรือดอกยาง เพื่อไม่ให้ลื่น และกลืนแรงสะท้อน
พื้นภายในรองเท้าตรงบริเวณอุ้งเท้า ต้องเสริมให้นูนสูง ให้เข้ารูปพอดีกับอุ้งเท้า เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บบริเวณส้นเท้า และการอักเสบของพังผืดกระดูกฝ่าเท้า
 

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเต้นแอโรบิกที่ถูกต้อง


                                                             การเต้นแอโรบิกที่ถูกต้อง

1. การย่ำเท้า Marching คือ การย่ำเท้าอยู่กับที่ ส่วนใหญ่แล้วจะย่ำเท้า 2 แบบคือ แบบกว้าง          ( Marching Out ) และแบบแคบ( Marching In )

2. การเดิน ( Walking ) คือ การก้าวเท้าไปยังทิศทางที่เคลื่อนที่ไป มีการถ่ายน้ำหนักตัวจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง การเดินนั้นสามารถเดินไปข้างหน้า ข้างหลัง หรือเฉียง หรือเดินเป็นรูป

3. ก้าวรูปสี่เหลี่ยม ( Easy Walk ) คือ การก้าวเดินไปข้าง 1 ก้าว ถอยหลัง 1 ก้าว ลักษณะคล้าย V-step แต่วางเท้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรืการก้าวเดิน

4. การก้าวแตะ ( Step Touch สเต็ปทัช) คือ การยกเท้าหนึ่งไปด้านข้างแล้วยกเท้าอีกข้างหนึ่งไปแตะแล้วทำสลับกัน ทิศทางการเคลื่อนไหวจะเป็นการก้าวแตะที่อยู่กับที่ หรือทำเป็นรูปตัวแอล หรือก้าวแตะหมุนรอบตัวเองก็ได้

5. ส้นเท้าแตะ ( Hell Touch ฮีลทัช) คือการแตะด้วยส้นเท้าข้างใดข้างหนึ่ง โดยแตะข้างหน้าหรือด้านหลังก็ได้

6. ปลายเท้าแตะด้านข้าง ( Side Tap ไซด์แทบ) คือการแตะด้วยปลายเท้าข้างใดข้างหนึ่งโดยแตะด้านข้างหน้าซ้าย-ขวา สลับกัน

7. การยกส้นเท้า ( Lek Curl เล็คเคอ) คือการยกส้นเท้าขึ้นไปที่สะโพกด้านหลัง หรือการพับส้นเท้าไปด้านหลัง การทำ Hamstring Curl หรือ Hamstring Curl Lek Curl นั้นทำได้ทั้งที่อยู่กับที่หรือหมุนรอบตัวเอง (แฮมสตริงเคอ)

8. ก้าวไขว้ก้าวแตะ ( Grapevine เกรพวาย ก้าวไขว้ก้าวแตะ หรือเกรพวายคือการทำก้าวไขว้ขาไปหลังหรือหน้าก็ได้ การทำเกรพวายนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น เกรพวายธรรมดา หรือเกรพวายเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือเกรพวายหมุน 180 องศา

9. แมมโบ้ ( Membo ) คือการก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งไปข้างหน้าแล้วย่อเข่าลงแล้วนำกลับสู่ที่เดิม และเปลี่ยนข้างทำ การทำแมมโบ้สามารถทำได้ทั้งข้างหน้าและด้านข้างก็ได้

10. ยกเข่า ( Knee Up นีอัพ) เป็นท่าการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการพัฒนากล้ามเนื้อขาหรือ Knee Lift ได้อย่างดีดังนั้นแอโรบิก ด๊านซ์ทุกประเภทจึงมีท่าการยกเข่าทั้งการยกเข่าด้านหน้า ( Front Knee Lift )หรือ นีลีฟ ด้านข้าง ( Side Knee Lift ) การยกเข่าเฉียง ( Knee Cross )

11. การแตะขา ( Kick คิก ) การแตะขา ไปใช้ในทิศทางต่าง ๆ ทั้งการแตะไปด้านหน้า             ( foreward ) เฉียง ( cross ) หลัง ( backward )และข้าง( sideward ) การแตะขาที่ถูกต้องควาเป็นการแตะขาไม่ใช่การสะบัดเข่า

12. ก้าวชิดก้าวแตะ ( Two Step ทูสเต็ป) คือการทำก้าวชิดก้าวแตะ หรือการทำก้าวแตะ 2 ครั้ง

13. สควอท ( Squats ) คือการนั่งยอง ๆ หรือ ย่อ ยืด ควรนั่งให้มุมสะโพกและเท้าเป็นมุม 90 % เท่านั้น ไม่ควรนั่งให้สะโพกชิดส้นเท้าเพราะจะทำให้เอ็นหรือกระดูกอ่อนที่หัวเข่ายืดมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เข่าเจ็บ

14. ช่า ช่า ช่า( Cha Cha Cha คือการก้าวใดเท้าหนึ่งไขว้ไปด้านหน้า ย่ำเท้าหลัง แล้วนำเท้ากลับที่ก้าวไปข้างหน้ากลับมา ย่ำ ย่ำ ย่ำ สลับเท้า

15. ส่ายสะโพก ( Twis ) คือการส่ายสะโพกซ้าย – ขวา สลับกัน

16. Step Knee คือการย่ำเท้า 1-2 ก้าวขึ้นบน 3 แล้วยกเข่า